นายไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC ผู้นำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ หรือเกรย์มาร์เก็ต เปิดเผยว่า ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2007 ซึ่งจะมีระหว่างวันที่ 29 พ.ย. - 10 ธ.ค.นี้ ที่เมืองทองธานี บริษัทฯ ได้ใช้งบประมาณกว่า 15 ล้านบาท ตกแต่งบูธของกลุ่มเอส.อี.ซี. เพื่อจัดแสดงรถยนต์นำเข้ารุ่นใหม่และที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน
"รวมมูลค่าของบูธและรถยนต์ที่นำมาจัดแสดงครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท และปีนี้ยังมีความพิเศษกว่าทุกครั้ง โดยได้มีมุมรถนำเข้าที่เป็นรถซูเปอร์คาร์ระดับแนวหน้าของโลกมาจัดแสดงโดยเฉพาะ และไฮไลท์เป็นรถจากอิตาลี่ บูกัตติ เวย์รอน ราคา 165 ล้านบาท เพื่อเปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว ได้จับจองเป็นเจ้าของภายในงาน ซึ่งถือว่าเป็นรถใหม่ที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะรถยี่ห้อมายบัคที่เคยมีนำมาขายในไทย มีราคาเพียงกว่า 100 ล้านบาทนิดๆ เท่านั้น "
นอกจากบูกัตติยังนำรถซูเปอร์คาร์อื่นๆ ได้แก่ แอสตัน มาร์ติน ดีบี9 โวเลนต์ ราคา 26 ล้านบาท เบนท์เลย์ ฟลายอิ่ง สเปอร์ ราคา 24 ล้านบาท และเฟอร์รารี่430 ราคา 24 ล้านบาท และนอกจากนี้ยังมีเอ็กเซกคลูซีฟคาร์ แอลเอส460 และแอลเอส600ไฮบริด รวมถึงเก๋งซีดานหรู ไครสเลอร์ 300ซี จำนวน 4 รุ่น และรถสปอร์ตจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ อาทิ ซีแอลเค, เอสแอลเค และสมาร์ท บราบัส ฟอร์4 มาเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของ
นายไพบูลย์กล่าวว่า พิเศษมากกว่านั้นภายในงานกลุ่มเอส.อี.ซี. ยังได้เปิด S.E.C.OK ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าใช้แล้ว มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกด้วย โดยมีทั้งรถเดโม หรือใช้งานของผู้บริหาร, รถทดสอบ และรถยูสด์คาร์จำนวนกว่า 30 ทั้งหมดล้วนผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างดีมาให้ลูกค้าเลือกซื้อ
"โดยลูกค้าที่ซื้อและจองรถใหม่ภายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2007 กลุ่มเอส.อี.ซี.ขอมอบแคมเปญพิเศษกับอัตราดอกเบี้ย 2.60% ผ่อนนาน 48 เดือน หรือดอกเบี้ย 2.75% ผ่อนนาน 60 เดือน พร้อมประกันชั้นหนึ่ง 1 นาน 1 ปี คาดยอดขายภายในงานไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท"
สำหรับผลประกอบของบริษัทฯ ในช่วง 3 ไตรมาสแรกปีนี้ นายไพบูลย์กล่าวว่ามีรายได้กว่า 1,900 ล้านบาท กำไรสุทธิประมาณ 40 ล้านบาท แม้สภาวะเศรษฐกิจและตลาดรถโดยรวมจะชะลอตัวลง ทำให้ยอดขายรถใหม่ไม่เติบโตมาก หรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทำให้จากเดิมเมื่อต้นปีนี้บริษัทฯ จะมีผลประกอบการเติบโตประมาณ 10% ถึงสิ้นปีอาจจะไม่ถึงก็ได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้จากการบริการหลังการขายเพิ่มขึ้น โดยตลอดช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มียอดการเข้าใช้บริการหลังการขายเพิ่มขึ้นประมาณ 24% และคาดว่าถึงสิ้นปีจะมีรายได้ในส่วนของบริการหลังการขายประมาณ 150-160 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่ทำได้กว่า 110 ล้านบาท
นายไพบูลย์กล่าวว่า ในส่วนแผนการรุกธุรกิจของบริษัทฯ ต่อไปนี้จะเริ่มเน้นการขายรถยนต์ใช้แล้วมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะมีการเปิดตัวไปบ้างแล้ว เพราะการทำธุรกิจรถมือสองจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจสอบสภาพรถเป็นอย่างมาก เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อรถต่อได้รับสินค้าที่ดีที่สุด
ขณะที่ธุรกิจติดตั้งก๊าซธรรมชาติ หรือเอ็นจีวี ในปี2551 ก็เริ่มอย่างจริงจังเช่นกัน จากที่ได้แต่งตั้งตัวแทนแล้ว 2 แห่ง ที่จ.อุดรธานีและชานเมืองรอบกรุงเทพฯ แต่บริษัทฯ ไม่ให้รุกตลาดมากนัก เพราะต้องการเน้นคุณภาพเป็นหลัก แต่จากสถานการณ์ราคาน้ำมันปัจจุบันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงน่าจะทำให้ลูกค้าหันมาให้ความสนใจมากขึ้น บริษัทฯ จึงมีแผนจะแต่งตั้งศูนย์ติดตั้งเอ็นจีวีเพิ่มอีก 4-5 แห่งในปีหน้า
ส่วนสถานการณ์ตลาดรถยนต์โดยรวม และตลาดรถยนต์นำเข้าปีหน้า คาดว่าน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทฯ เตรียมแผนจัดงานแสดงรถยนต์ของกลุ่มเอส.อี.ซี. ซึ่งครั้งนี้จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้พิเศษไปกว่าทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาด คอนเซ็ปต์ และสถานที่จัดงาน ทั้งนี้จะมีการแถลงข่าวกันอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า |